สบส.ฟัน 2 ข้อหา รพ.เอกชน คดี “พริตตี้วาวา”

สบส.เผยผลสอบโรงพยาบาลเอกชนที่ให้การรักษา “พริตตี้วาวา” พบผิด 2 ข้อหา ไร้การคัดแยกระดับความฉุกเฉินผู้ป่วยเมื่อแรกรับ และมีการจัดทำเอกสารเท็จ สั่งพนักงานเจ้าหน้าที่ดำเนินคดีตามกฎหมายสถานพยาบาลทันที

จากกรณีที่นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม พร้อมแม่ของ น.ส.วิชญาพร วิเศษสมบัติ หรือพริตตี้วาวา เข้าร้องเรียนขอความเป็นธรรมกับกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ ว่า โรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่งในเขตจตุจักร เรียกเก็บค่ารักษาพยาบาลจากผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤตจนเป็นเหตุให้เกิดการรักษาล่าช้าและทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิตเมื่อช่วงเช้าวันที่ 23 ก.พ.ที่ผ่านมานั้น

วันนี้ (12 มี.ค.2564) นพ.ธเรศ กรัษนัยรวิวงค์ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (สบส.) กระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ถึงความคืบหน้ากรณีดังกล่าว ว่า สบส.ได้รับเรื่องร้องเรียนจากนายอัจฉริยะ เมื่อวันที่ 2 มี.ค.ที่ผ่านมา จากนั้นได้มอบให้พนักงานเจ้าหน้าที่ของ สบส. เร่งตรวจสอบข้อเท็จจริง ไขข้อกระจ่างเพื่อให้ความเป็นธรรมกับทั้ง 2 ฝ่ายทันที

พนักงานเจ้าหน้าที่ฯ ดำเนินการตรวจเอกสารทางการแพทย์ เวชระเบียนอย่างรัดกุม พร้อมเรียกทางฝั่งโรงพยาบาลเอกชนและญาติผู้เสียชีวิตมาให้ถ้อยคำ นำข้อมูลที่ได้เสนอต่อที่ประชุมคณะอนุกรรมการสอบข้อเท็จจริงเรื่องร้องเรียน ซึ่งประกอบด้วย ผู้ทรงคุณวุฒิจากหลากหลายหน่วยงานทั้งภาครัฐ และภาคเอกชนร่วมพิจารณา เมื่อบ่ายวันที่ 11 มี.ค.ที่ผ่านมา

 

หลังจากคณะกรรมการได้ดำเนินการพิจารณาข้อมูลแล้ว มีมติว่าโรงพยาบาลเอกชนดังกล่าวมีการกระทำผิดจริง จึงสั่งการให้พนักงานเจ้าหน้าที่กองกฎหมายดำเนินการเอาผิดตามพระราชบัญญัติสถานพยาบาล พ.ศ.2541 กับโรงพยาบาลเอกชนดังกล่าวใน 2 ข้อหา ซึ่งประกอบด้วย

เอาผิด 2 ข้อหา รพ.เอกชน

ความผิดตามมาตรา 36 เนื่องจากในช่วงระยะเวลาที่เกิดเหตุคือวันที่ 23 ก.พ.2564 สถานพยาบาลไม่คัดแยกผู้ป่วยว่าเข้าข่ายฉุกเฉินวิกฤต (สีแดง) ในระบบบันทึกและประเมินผู้ป่วย (UCEP) ของสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ (สพฉ.) เป็นเหตุให้เกิดการคิดค่าบริการในขณะที่ให้บริการ ซึ่งเป็นที่มาของการร้องเรียนการรักษาพยาบาลที่ล่าช้า ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 40,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

ความผิดตามพระราชบัญญัติสถานพยาบาล พ.ศ.2541 ตามมาตรา 73 เนื่องจากในใบเสร็จค่ารักษาพยาบาลมีการเรียกเก็บค่าอาหารจากผู้ป่วยเป็นจำนวนเงิน 400 บาท โดยที่ผู้ป่วยไม่ได้รับบริการ จึงถือว่าเป็นการจัดทำเอกสารอันเป็นเท็จ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 40,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ซึ่งพนักงานเจ้าหน้าที่ฯ จะดำเนินการแจ้งความร้องทุกข์ต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจต่อไป

กำชับห้ามเรียกเงิน “ผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤต”

ทั้งนี้ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการปฏิเสธ หรือเรียกเก็บค่าใช้จ่ายจากผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤต โดยเฉพาะในช่วงใกล้เทศกาลสงกรานต์ที่จะมีการเคลื่อนย้ายของประชาชนจำนวนมาก อาจเกิดอุบัติเหตุหรือการเจ็บป่วยจากโรคประจำตัวระหว่างเดินทางเพิ่มมากขึ้น จึงกำชับให้พนักงานเจ้าหน้าที่ฯ ลงพื้นที่ตรวจความพร้อมการรับผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤตของโรงพยาบาลเอกชนอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะโรงพยาบาลเอกชนที่อยู่บนเส้นทางหลักที่มีการสัญจรคับคั่ง เพื่อสร้างความเชื่อมั่นต่อประชาชน ว่า เมื่อประสบเหตุฉุกเฉินตนและครอบครัวจะได้รับบริการทางการแพทย์ที่มีมาตรฐานอย่างแน่นอน หากประชาชนพบว่าสถานพยาบาลเอกชนแห่งใดไม่ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ให้แจ้งได้ที่สายด่วนกรม สบส. 1426 เพื่อดำเนินการตามกฎหมาย

 

อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง

เจ้าของบ้านจัดปาร์ตี้รับมีเสพยา – ขับไปส่ง “วาวา” ที่ รพ. 

ตร.เร่งสอบหลักฐานบ้านจัดปาร์ตี้คดีพริตตี้ “วาวา” ดับปริศนา 

ร้อง สอบ รพ.เอกชน ไม่ปฏิบัติตามยูเซป ปมพริตตี้ “วาวา” เสียชีวิต 

รอง ผบช.น. เผยผลชันสูตรพริตตี้ “วาวา” พบสารเสพติด 4 ชนิด 

 

 

Next Post

ก.ตร.เห็นชอบเปิดตำแหน่ง "ผู้ช่วยผบ.ตร."เพิ่ม คาดรองรับ “พล.ต.ท.สุรเชษฐ์”

เสาร์ มี.ค. 13 , 2021
นายกฯ เรียกประชุม ก.ตร.เปิดตำแหน่ง ผู้ช่วย ผบ.ตร.ดูแลงานยุทธศาสตร์ รองรับ “พล.ต.ท.สุรเชษฐ์” กลับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ วันนี้ (12 มี.ค.64) พล.อ.ประยุทธ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) และคณะกรรมการนโยบายตำรวจแห่งชาติ (ก.ต.ช.) โดยวาระการประชุมวันนี้ เป็นการเ […]