ผู้ช่วย ผบ.ทบ. แนะแก้ปัญหาใต้ ใช้ความจริงใจสร้างสันติสุข

ผู้ช่วย ผบ.ทบ.ลงพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ย้ำกลไกแก้ปัญหาต้องอาศัยความร่วมมือผู้นำท้องถิ่น และยึดหลักความจริงใจยุติเหตุรุนแรง เพื่อหักล้างข้อมูลที่เคยถูกบิดเบือนและป้องกันแนวร่วมรุ่นใหม่

จากเหตุคนร้ายลอบวางระเบิดแสวงเครื่อง ระหว่างชุดปฏิบัติการจรยุทธ์ กองร้อยทหารพราน 4804 ลาดตระเวนบริเวณเขาบูเก๊ะซามาเลีย ต.ริโก๋ อ.สุไหงปาดี จ.นราธิวาส เมื่อวันที่ 21 พ.ค.2564 ที่ผ่านมา และมีกำลังพลได้รับบาดเจ็บ

 

วันนี้ (27 พ.ค.2564) พล.อ.พรศักดิ์ พูลสวัสดิ์ ผู้ช่วย ผบ.ทบ. และ พล.ท.เกรียงไกร ศรีรักษ์ แม่ทัพภาคที่ 4 ลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์ที่หน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ 44 อ.สายบุรี จ.ปัตตานี หน่วยเฉพาะกิจตำรวจตระเวนชายแดนที่ 43 อ.นาทวี จ.สงขลา และหน่วยเฉพาะกิจยะลา จ.ยะลา

พร้อมทั้งเยี่ยมให้กำลังใจอาสาสมัครทหารพราน สังกัดหน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ 48 ที่พักรักษาอาการอยู่ในโรงพยาบาล

 

ผู้ช่วย ผบ.ทบ.ได้สั่งการให้หน่วยที่เกี่ยวข้องดำเนินการตรวจสอบ รวบรวมวัตถุพยาน ติดตามและกดดันกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรง มาดำเนินคดีตามกฎหมาย พร้อมกำชับให้ทุกพื้นที่ เพิ่มมาตรการควบคุม ความปลอดภัย โดยการบูรณาการกำลังทุกภาคส่วน

 

นอกจากนี้ยังให้แนวทางในการแก้ปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ในฐานะอดีตแม่ทัพภาคที่ 4 ว่า หัวใจสำคัญของการแก้ปัญหาในพื้นที่คือความจริงใจ เพราะการใช้อาวุธไม่ก่อให้เกิดสันติสุข แต่ต้องใช้การพูดคุย และต้องพูดความจริงเท่านั้น จึงเป็นการแก้ปัญหาได้อย่างยั่งยืน แต่สำหรับกลุ่มที่ทำร้ายประชาชนผู้บริสุทธิ์ การบังคับใช้กฎหมายเป็นสิ่งจำเป็นที่ต้องดำเนินการ

 

ทั้งนี้ผู้ที่มีส่วนช่วยสร้างความปลอดภัยให้ประชาชน คือกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ผู้นำท้องที่ ผู้นำท้องถิ่น เพราะเป็นผู้ดูแลใกล้ชิดประชาชน และทราบความเคลื่อนไหวต่างๆ ในหมู่บ้านเป็นอย่างดี ซึ่งหากมีสิ่งผิดปกติ กำนัน ผู้ใหญ่บ้านจะเป็นกลุ่มแรกที่รู้ และช่วยเจ้าหน้าที่รัฐทำหน้าที่ดูแลประชาชนให้เกิดความมั่นคงปลอดภัย

 

ผู้ช่วย ผบ.ทบ.กล่าวต่อว่า ให้ใช้หลักของความจริงที่ถูกต้องในการดำเนินการเพื่อที่จะได้หักล้างข้อมูลที่เคยถูกบิดเบือน ข่าวลวงหรือข่าวปลอมที่จะทำให้ประชาชนเข้าใจผิด ทั้งนี้เพื่อป้องกันแนวร่วมรุ่นใหม่ที่จะเกิดขึ้น โดยใช้ประโยชน์จากชุดกิจการพลเรือน ที่ต้องช่วยกันเผยแพร่ข้อมูลความจริงที่ถูกต้อง

ทั้งนี้การปฏิบัติทั้งชุดจรยุทธและกิจการพลเรือนแบบเชิงรุกมีส่วนสำคัญในการทำลายโครงสร้างของผู้ก่อเหตุรุนแรงและจำกัดเสรีการปฏิบัติ เจ้าหน้าที่สามารถบังคับใช้กฎหมาย แต่ต้องเป็นไปตามขั้นตอนอย่างรัดกุม

 

ขอให้หน่วยดำเนินการภายใต้การมีส่วนร่วมของผู้นำพื้นที่ผู้นำศาสนา เข้าใจในขั้นตอนของกฎการปะทะอย่างเข้มงวด เรื่องของการควบคุมพื้นที่ถ้าจะให้ได้ผลต้องใช้ยุทธศาสตร์ประชาชนมีส่วนร่วม บูรณาการกำลังทุกภาคส่วนทหาร ตำรวจ และพลเรือน ฝ่ายปกครอง ช่วยกันแก้ไขปัญหาในพื้นที่

ขณะที่ พล.ท.เกรียงไกร ศรีรักษ์แม่ทัพภาคที่ 4 ได้กำชับให้หน่วยประชาสัมพันธ์ไปยังประชาชน ให้เข้าใจหลักการทำงาน และความจริงของการปฏิบัติงานมากขึ้น โดยประชาสัมพันธ์เบอร์โทรศัพท์สายตรงของแม่ทัพ โทร.061-1732999 ให้ทั่วถึงในทุกพื้นที่

 

ตลอดจนประชาสัมพันธ์เรื่องความผิดของผู้ให้การสนับสนุนผู้ก่อเหตุรุนแรง โดยสามารถบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจังทั้งกลุ่มผู้ก่อเหตุ และผู้ให้การสนับสนุนตามมาตรา 189 เพื่อจะลดและตัดการสนับสนุนในพื้นที่ให้ได้

สำหรับพื้นที่กลุ่มเสี่ยงที่มักเกิดเหตุบ่อยครั้งในช่วงที่ผ่านมาและฝ่ายความมั่นคงเฝ้าระวังเป็นพิเศษ เช่น พื้นที่สายบุรี ,กะพ้อ, ทุ่งยางแดง จังหวัดปัตตานี พื้นที่สะบ้าย้อย จังหวัดสงขลา และพื้นที่บันนังสตา จังหวัดยะลา โดยข้อมูลกองทัพภาคที่พบว่ามีสถิติการก่อเหตุและความเสียหายเพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมา

Next Post

ราชทัณฑ์เตรียมพิจารณา "พักโทษ" ลดเรือนจำแออัด ช่วงโควิดระบาด

พฤหัส พ.ค. 27 , 2021
กรมราชทัณฑ์ เผยผู้ต้องขังติดเชื้อ COVID-19 รายใหม่ 1,228 คน หายเพิ่ม 2,054 คน พร้อมชี้แจงมาตรการคัดกรองเชื้อ ก่อนปล่อยตัวผู้ต้องขัง เตรียมพิจารณาโครงการพักการลงโทษกรณีพิเศษ เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 วันนี้ (27 พ.ค.2564) นายวีระกิตติ์ หาญปริพรรณ์ รองอธิบดีกรมราชทัณฑ์และโฆษกศูนย์บัญชา […]